“ลือกระหึ่ม รมช.มนัญญา จากพรรคภูมิใจไทย ประกาศแบน3สารเคมีสิ้นปีนี้ รับใบสั่งนายทุนพรรค บ.ผลิตปุ๋ยยารายใหญ่ภาคอีสาน เตรียมเจาะตลาดแบ่งเค็กสารเคมีกว่า8หมื่นล้านบาท”
เมื่อวันที่16 ส.ค.แหล่งข่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกรณีที่ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯประกาศจะแบนสารเคมี 3 ชนิด พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส ที่เป็นปัญหายืดเยื้อมานานให้ทันก่อนสิ้นปีนี้ ส่งผลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้เกิดความสับสน ทั้งกรมวิชาการเกษตร หน่วยงานที่กำกับดูแล พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และเป็นหน่วยงานออกประกาศกระทรวงเกษตรฯ 5ฉบับว่าด้วยการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด รวมทั้งกรมส่งเสริมการเกษตร ที่กำลังบริหารจัดการ การอบรมและการสอบเกษตรกร1.5ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อให้เกษตรกรที่ผ่านการอบรมการใช้สารดังกล่าว มีสิทธิ์ซื้อสารเคมีไปใช้ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯว่าด้วยการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด แต่อย่างไรก็ตามจนบัดนี้ยังไม่มีคำสั่งเป็นทางการจากกระทรวงเกษตรฯว่าให้หน่วยงานเกี่ยวข้องดำเนินการอย่างไร เพราะตามที่รมช.เกษตรฯประกาศจะยกเลิกนำเข้าภายในปี62
“ถ้าจะแบนจริงๆ รมช.เกษตรฯควรจะประกาศชะลอการอบรมเกษตรกรออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าทั้งเจ้าหน้าที่ และเกษตรกร” สารเคมี 3 ชนิดคือสารกำจัดวัชพืช 2 ชนิด คือ พาราควอต และ ไกลโฟเซต สารกำจัดแมลงศัตรูพืช 1 ชนิด คือ คลอร์ไพริฟอส ที่ผ่านมาเหตุผลของการแบน ไม่ใช่เพราะใช้มานานแล้ว ซึ่งสำหรับสารกำจัดวัชพืช 2 ชนิดนี้ ปัจจุบัน มีสารเคมีชนิดอื่นมาแทน แต่สารเคมีที่มาทดแทนมีราคาสูงกว่า 5 เท่า และประสิทธิภาพไม่ได้ดีไปกว่าเดิม และเกษตรกร รับไม่ไหวในเรื่องต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่วนจะใช้สารชีวภัณฑ์ที่มีขายตามท้องตลาด แต่เมื่อนำสารชีวภัณฑ์นั้นมาตรวจวิเคราะห์ก็พบว่ามีสารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอต และไกลโฟเซต ผสมอยู่ด้วย จึงไม่ใช่สารชีวภัณฑ์ ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตุว่าแกนนำพรรคภูมิใจไทย มีนายทุนบริษัทผลิตปุ๋ยยาทางการเกษตรรายใหญ่ ที่ครองตลาดทางภาคอีสาน อาจเตรียมนำสารที่จะเข้ามาทดแทนสารเคมี3ชนิดไว้แล้วจึงมีนโยบายให้ น.ส.มนัญญา เร่งแบนสารเคมี ที่บริษัทรายนี้ไม่ได้ขออนุญาตนำเข้ามาขาย อีกทั้งต้องการเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาด สารเคมีการเกษตรมีมูลค่าปีละกว่า8หมื่นล้านบาท
