ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ประหารชีวิต ผู้กองเหน่ง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 ก.ย.63 ที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83/1 บ้านซำเม็ง ม.3 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มารดาของ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย พร้อมด้วย นายประสิทธิ์ศักดิ์ ฝอยทอง ประธานสภาทนายความจังหวัดกันทรลักษ์ ได้เดินทางมารอรับฟังคำตัดสินของศาลอุธรณ์ คดี นายศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง ผู้ต้องหา ในคดีก่อเหตุฆาตกรรม นางสาวจุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2560 ที่ผ่านมา หลังศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิต เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 62

ขณะที่บรรยากาศเช้านี้ญาติๆฝ่าย ผอ.อ้อยได้เดินทางมาถึงบริเวณศาลจังหวัดกันทรลักษ์กันตั้งแต่เช้า เพื่อรอเข้ารับฟังคำตัดสินศาลอุทรณ์ด้วยการใจจดใจจ่อ โดยมีสื่อมวลชนมารอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีสำคัญและใช้เวลาติดตามนำเสนอเป็นเวลานาน

นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 65 ปี มารดา ผอ.อ้อย กล่าวว่า ตนและญาติๆอยากให้ศาลอุธรณ์นั้นมีคำตัดสินตามเดิมคือประหารชีวิต ผู้กองเหน่ง เพราะตนรู้สึกเสียใจมากที่สูญเสียลูกสาวซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว คดี ผอ.อ้อย เป็นอีกหนึ่งคดีที่ประชาชนให้ความสนใจโดย น.ส.จุฑาภรณ์ หรือ ผอ.อ้อย อุ่นอ่อน อายุ 37 ปี ผู้อำนวยการกองการศึกษา อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2560 ซึ่งครอบครัวได้เข้าแจ้งความที่ สภ.กันทรลักษ์ และพยายามตามหาตัวแต่ก็ยังไร้วี่แวว จนกระทั่งได้เบาะแสจากคำบอกเล่าของเพื่อน ผอ.อ้อย ว่าก่อนหายตัวไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผอ.อ้อย ได้ชวนเพื่อนให้พาไปทวงหนี้กับทหารนายหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท ทราบภายหลังว่าทหารคนดังกล่าวคือ ผู้กองเหน่ง หรือ ร.อ.ศุภชัย ภาโส โดยพบหลักฐานการยืมเงินเป็นบัตรเอทีเอ็มและสเตจเม้นท์ ซึ่งผู้กองเหน่งไม่ยอมคืน ผอ.อ้อย เลยขู่ว่าจะฟ้องผู้บังคับบัญชาให้ทราบเรื่องตำรวจพบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ น.ส.จุฑาภรณ์ กับ ร.อ.ศุภชัย หรือ ผู้กองเหน่ง เส้นทางสถานที่ใกล้เคียงกันจาก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไปที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นจุดสุดท้ายที่สัญญาณโทรศัพท์หายไป

หลังจากหายตัวไปของ ผอ.อ้อย มีการโอนเงินจากบัญชี น.ส.จุฑาภรณ์ ไปที่บัญชีผู้กองเหน่งหลายครั้ง มีการเข้าไปในไลน์ชื่อ “JUTHAPRON” แสดงตนเป็น น.ส.จุฑาภรณ์ หลอกให้คนอื่นที่หลงเชื่อว่าเป็น ผอ.อ้อย บอกว่ามีเรื่องเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ขอให้โอนเงินเข้ามาให้ น.ส.จุฑาภรณ์ หลายหมื่นบาท

ต่อมาวันที่ 10 ส.ค. ตำรวจพบรถยนต์เก๋งต้องสงสัยของ ผอ.อ้อย จอดทำสีอยู่ที่อู่ซ่อมรถยนต์ในเขตเมืองอุบลราชธานี สืบสวนพบว่า ร.อ.ศุภชัย ได้โทรศัพท์ติดต่อกับ นางสุชาวดี ปทุมอินทร์ นายหน้าซื้อขายรถยนต์ ให้ขายรถ ผอ.อ้อยให้ โดยมีเอกสารคู่มือรถยนต์ บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง เอกสารประกอบการซื้อขาย และหนังสือมอบอำนาจจาก ผอ.อ้อย ซึ่ง ร.อ.ศุภชัย เป็นผู้ยืนยันว่า ผอ.อ้อย เดือดร้อนเรื่องเงิน ตำรวจมีหลักฐานเชื่อว่า ผู้กองเหน่ง ปลอมเอกสารทั้งหมดขึ้นมาเองเพื่อขายรถ แล้วโอนเงินเข้าบัญชีตนเอง ตำรวจ ทหาร พร้อมญาติของ น.ส.จุฑาภรณ์ ได้ออกค้นหาบริเวณรอบฐานอนุพงษ์ พื้นที่ปฏิบัติการของทหารพราน แถวสามเหลี่ยมมรกต อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เขตพื้นที่กับระเบิด พบหลักฐานสำคัญ กะโหลกศีรษะ กระดูกขากรรไกรล่าง กระดูกต้นคอ กระดูกลำตัว กระดูกสะบัก กระดูกไหปลาร้า กระดูกซี่โครง เส้นผม เข็มขัดด้ายถักสีกากี และ นาฬิกา ญาติยืนยันว่า เป็นของใช้ประจำตัว ผอ.อ้อย พยานหลักฐานสำคัญไขปมฆ่าอำพรางศพ

เส้นทางคำตัดสินศาลชั้นต้นได้มีคำตัดสิน โทษประหารชีวิต ต่อมาจำเลย ผู้กองเหน่งได้ยื่นอุธรณ์คำตัดสินของศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษาในวันนี้เวลา 10.00 น. โดยในวันนี้ได้ถ่ายทอดสดคำตัดสินยังศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ขณะที่ นายศุภชัย ภาโส ยังต้องโทษอยู่ในเรือนจำบางขวาง กรุงเทพมหานคร

ทางด้าน นายประสิทธิ์ศักดิ์ ฝอยทอง ประธานสภาทนายความจังหวัดกันทรลักษ์ กล่าวว่า การทำงานของทีมทนายในฝ่าย ผอ.อ้อยผู้เสียชีวิตนั้น มีความมั่นใจในพยานหลักฐานของคดีที่ได้ดำเนินการไปแล้วจนศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่า นายศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยให้ลงโทษประหารชีวิต.

ข่าว/ภาพ …. บุญทัน ธุศรีวรรณ