มหาวิทยาลัยทั่วอีสาน–บพท. ผนึกกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เปิด AppTech Matching Day 2025 พร้อมเปิดศูนย์มันสำปะหลังไทย–จีน ยกระดับนวัตกรรมสู่สากล

มหาวิทยาลัยทั่วอีสาน–บพท. ผนึกกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เปิด AppTech Matching Day 2025 พร้อมเปิดศูนย์มันสำปะหลังไทย–จีน ยกระดับนวัตกรรมสู่สากล

   เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2568 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับ เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 11 แห่ง เครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลจำนวน 3 แห่ง กลุ่ม
มหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน 8 แห่ง และหน่วยสังเคราะห์และขับเคลื่อนแพลตฟอร์มสร้างรายได้ครัวเรือนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชนสู่การใช้ประโยชน์และยกระดับเศรษฐกิจฐานราก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จัดงานมหกรรมเศรษฐกิจฐานราก:แก้จน ลดหนี้ เพิ่มรายได้ ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมปี 2568 หรืองาน “Apptech Matching Day 2025” ซึ่งเป็นหนึ่งในการขยายผลจากกรอบการวิจัยการขยายผลวิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) เพื่อยกระดับรายได้ครัวเรือนและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ประจำปีงบประมาณ 2568 อันเป็นแพลตฟอร์ม (Platforn) สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ด้วยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.)

 ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย ละนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า “การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจฐานราก:
แก้จน ลดหนี้ เพิ่มรายได้ ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมปี 2568 หรืองาน “Apptech Matching Day 2025” มีลักษณะเป็นงานประชุม สัมมนาและแสดงงานเทคโนโลยีที่เหมาะสม ประจำปี 2568 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีเป้าประสงค์หลักเพื่อเชื่อมโยงการประยุกต์ใช้และขยายผลเทคโนโลยีที่เหมาะสม/นวัตกรรมพร้อมใช้ ซึ่ง
เป็นผลงานจากภูมิปัญญาคณาจารย์ นักวิจัยของเครือข่ายมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของกลุ่มคนจนจนฐานราก เกษตรกรรายย่อย กลุ่มอาชีพ ผู้ประกอบการในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสในการพัฒนาข้อเสนอโครงการที่มีคุณภาพ ตรงกับความต้องการและสร้างการเปลี่ยนแปลง
ตลอดจนจัดการแก้ปัญหาคนจนลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี พร้อมทั้งยกระดับเศรษฐกิจฐานรากทั้งภาคชนบทและเมือง ให้พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทที่สอดคล้องกับภูมิสังคม และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

   ภายในงาน มีมหาวิทยาลัยในพื้นที่ทั่วภาคอีสานร่วมส่งผลงานเพื่อจัดแสดงนวัตกรรมพร้อมใช้กว่า 96 ผลงาน และผ่านการพิจารณาคัดเลือก 72 ผลงาน แบ่งออกเป็น เครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลแห่งประเทศไทยจำนวน 28 บูธ เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏจำนวน 33 บูธ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาพื้นที่จำนวน 11 บูธ ซึ่งมาจากการศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนาโจทย์วิจัยร่วมกันระหว่างคณาจารย์ นักวิจัยและนวัตกรในพื้นที่ ซึ่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและชาวบ้านอย่างตรงจุด

   ผู้อำนวยการ บพท.ได้ยกตัวอย่างความหลากหลายบางส่วนของผลงานเทคโนโลยีที่เหมาะสมและนวัตกรรมพร้อมใช้ ที่ถูกจัดแสดงและสาธิตการใช้ประโยชน์จริงภายในงาน โดยกล่าวว่าครอบคลุมเทคโลยีและ
นวัตกรรมที่ใช้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทั้งพืชไร่ พืชสวน รวมทั้งปศุสัตว์ ได้แก่เทคโนโลยีกรรมวิธีการผลิตข้าวฮางงอก โรงเรือนเลี้ยงไหมอัตโนมัติ เครื่องสแกนทุเรียน เตาเผาถ่านสุญญากาศและเครื่องควบแน่นน้ำส้มควันไม้ การผลิตหนอนแมลงโปรตีน ไก่โคราช เครื่องฉีกหมูฝอยแบบกึ่งอัตโนมัติ การผลิตลูกปลานิลแปลงเพศ

   “เทคโนโลยีที่เหมาะสม และนวัตกรรมพร้อมใช้ ทั้งหมดที่คัดสรรไปจัดแสดงให้ชาวบ้านได้ชมและทดลองภายในงาน ล้วนเป็นผลงานที่ผ่านกระบวนการใช้งานจริงโดยชาวบ้านกลุ่มตัวอย่าง ในพื้นที่วิจัย และสามารถช่วย
ยกระดับคุณภาพ ยกระดับประสิทธิภาพผลผลิตได้จริง อีกทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ครัวเรือนกลุ่มตัวอย่างให้สูงขึ้น
โดยเฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท”

    การจัดงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากลุ่มเป้าหมายและผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่ม YEC กลุ่มอาชีพ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ เครือข่าย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานภาคีเครือข่าย และผู้สนใจทั่วไป รวมจำนวนทั้งสิ้น 721 คน เกิดการขับเคลื่อนและหนุนเสริมให้มหาวิทยาลัยพัฒนาพื้นที่ภาคอีสาน ประสานพลังและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนฐานรากทั้งระดับอาชีพครัวเรือน กลุ่มอาชีพ ธุรกิจชุมชน ท้องถิ่น เครือข่ายธุรกิจชุมชนและคลัสเตอร์อุตสาหกรรมในพื้นที่อย่างยั่งยืน

   ภายในงานยังมี พิธีเปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลังไทย–จีน (Thailand–China Cassava Technology Transfer Center) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ภายใต้ความร่วมมือกับ Chinese Academy of Tropical Agricultural Sciences (CATAS) และพันธมิตรจีน ศูนย์ฯ นี้มุ่งพัฒนาห่วงโซ่มันสำปะหลังตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สร้างคลัสเตอร์เกษตรกร–ธุรกิจชุมชน และเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมชีวภาพไทย–จีน
รศ.ดร.รัฐศักดิ์ อนันตสุข รองอธิการบดี มทส. กล่าว “ศูนย์นี้เป็นกลไกกลางในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่พื้นที่จริง ช่วยยกระดับผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาศักยภาพเกษตรกรไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากล เป็นต้นแบบเมืองนวัตกรรมเกษตรครบวงจรของภูมิภาค”

นายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของไทย–จีน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเกษตร พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและเชื่อมโยงตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

 

ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีมันสำปะหลังไทย–จีน เกิดขึ้นภายใต้โมเดล 4 เสา ได้แก่ Cluster, SIE, Industry และ Korat Sandbox มุ่งพัฒนาโคราชเป็นต้นแบบเมืองนวัตกรรมเกษตรครบวงจร ถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์คุณภาพสูง การจัดการดินและน้ำ การใช้ปุ๋ยชีวภาพ การป้องกันโรคใบด่าง การแปรรูปผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากล และการบริหารจัดการของเสีย พร้อมขยายตลาดในประเทศและต่างประเทศ

 

ความร่วมมือนี้สะท้อน วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของ บพท. และ มทส. ในการสร้างแพลตฟอร์มเชื่อมงานวิจัย–นวัตกรรมสู่เศรษฐกิจฐานราก โดยมุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์เชิงรูปธรรม ทั้งในมิติรายได้ คุณภาพชีวิต และความเข้มแข็งของชุมชน พร้อมต่อยอดเชื่อม BRI และ BCG ให้เศรษฐกิจอีสานมีศักยภาพแข่งขันในระดับภูมิภาคและสากล

นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังตรงกับ วาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ทำให้ศูนย์ฯ เป็นต้นแบบความร่วมมือเพื่อการพัฒนา (Cooperation for Development) ที่ยั่งยืน สร้างคุณค่าใหม่ทางสังคม และเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างสองประเทศอย่างยาวนาน

ทั้งสองกิจกรรมสะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมพร้อมใช้ ไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เกษตรกร และธุรกิจชุมชนในภาคอีสาน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม