กกร. หนุนรัฐบาลเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ – คงเป้าส่งออกโต 2–3% พร้อมตั้งคณะทำงาน “Zero Corruption”

วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ร่วมแถลงข่าว
กกร. ขอบคุณรัฐบาลที่เปิดรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนและนำหลายข้อเสนอไปบรรจุในนโยบายแล้ว พร้อมยืนยันความร่วมมือเพื่อให้มาตรการเศรษฐกิจเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนการเลือกตั้ง โดยเสนอกรอบทำงาน “Reinvent Thailand” เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและผลต่อไทย
- OECD คาด GDP โลกปี 2568 โต 3.3% แต่ปี 2569 จะชะลอเหลือ 2.9%
- UNDP ประเมินการส่งออกหดตัว อาเซียน 9.7% ไทย 12.7%
- ค่าเงินบาทแข็งค่า สัมพันธ์กับราคาทองคำที่สูงขึ้น ขาดข้อมูลเชิงลึกจากธุรกรรมทองคำ คริปโต และการโอนเงินแรงงานต่างด้าว จนกระทบดุลการชำระเงิน
กกร. จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเชื่อมโยงข้อมูลและพิจารณาตั้ง Sovereign Wealth Fund เพื่อบริหารความผันผวนเงินทุนในระยะยาว
การส่งออกและเศรษฐกิจไทย
- กกร. คงคาดการณ์ส่งออกปีนี้โต 2–3% แต่ยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งกดดันผู้ส่งออกและท่องเที่ยว หากค่าเงินอ่อนลงในไตรมาส 4 จะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกได้
- คาด GDP ไทยปี 2568 โต 1.8–2.2% ใกล้เคียงปีก่อน (2.5%)
- หากเร่งเบิกจ่ายงบปี 2569 ได้ 1/3 ภายในสิ้นปี พร้อมดึงนักท่องเที่ยว 34 ล้านคน และเดินหน้ามาตรการ “คนละครึ่งพลัส” รวมถึงสนับสนุน SMEs และ Made in Thailand จะเป็นแรงหนุนสำคัญ

และมีประเด็นสำคัญอื่น ๆ อาทิ
- RVC (Regional Value Content) ต้องรักษาระดับ 40% เพื่อแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ หากไม่ทำได้อาจกระทบแรงงานกว่า 400,000 คน
- สืบเนื่องจาก Problem Statement ของข้อเสนอ “Reinvent Thailand” กกร. จึงให้ความสำคัญกับสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยที่ยังคงอยู่ในระดับรุนแรงและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติ ผลการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในเรื่องดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ชี้ว่าการทุจริตเชิงนโยบายและการทุจริตในระดับท้องถิ่นที่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ที่ขาดความโปร่งใส การเรียกรับผลประโยชน์ในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมากที่ยังคงเผชิญแรงกดดันต้องจ่ายเงินพิเศษให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิหรือสัญญาตามระบบราชการ ทั้งนี้ กกร. ได้จัดตั้งคณะทำงาน Zero Corruption : กกร. ไม่ทน ขึ้นมาโดยตรง เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม พร้อมจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติได้จริง และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงสร้างระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืนในระยะยาว โดยคณะทำงานดังกล่าวประกอบด้วย ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายที่เข้ามาร่วมผลักดัน ได้แก่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT, แนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดบมีกรอบการทำงานของคณะทำงาน Zero Corruption ที่จะเน้นไปที่ 8 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) หลักธรรมาภิบาล 2) การปลูกฝังจิตสำนึก 3) นโยบายต่อต้านการทุจริต 4) ระบบบริหารความเสี่ยง 5) การมีส่วนร่วม 6) เทคโนโลยี 7) การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ 8) การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ (Guillotine) ที่เคยดำเนินการมาก่อนหน้านี้ และจัดลำดับประเด็นที่จะต้องเร่งดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งคณะทำงานจะบูรณาการความร่วมมืออย่างจริงจังเพื่อต่อต้านการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม
- สืบเนื่องจากสภาผู้แทนราษฎร อยู่ระหว่างพิจารณา (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่ง กกร. ได้พิจารณาแล้วมีข้อกังวลต่อ ร่าง พรบ. ฉบับดังกล่าว เนื่องจากมีบางมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และเพิ่มภาระต้นทุนในการจ้างงานให้กับนายจ้าง นอกจากนี้ ร่าง พรบ. ดังกล่าว ยังขาดการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนอย่างเป็นระบบและรอบด้าน ดังนั้น กกร. จึงขอให้มีการทบทวน ร่าง พรบ. คุ้มครองแรงงานฯ และขอให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมาธิการในการพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ. ดังกล่าว เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง รวมทั้ง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและภาพรวมเศรษฐกิจไทย
