กรมชลประทานเดินหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ชัยภูมิ เสริมความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน คาดเก็บกักน้ำได้ปี 2569

กรมชลประทานเดินหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ชัยภูมิ

เสริมความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน คาดเก็บกักน้ำได้ปี 2569

กรมชลประทาน จัดประชุมปัจฉิมนิเทศและกิจกรรมสื่อสัญจร “โครงการศึกษาความเหมาะสมระบบชลประทาน โครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ” เวทีที่ 1  ในวันที่ 9 ก.ย68 ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอบ้านเขว้า โดยมี นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานเปิดการประชุมปัจฉิมนิเทศ พร้อมด้วย นายนัทธี นุ่มมาก ผู้อำนวยการโครงการชลประทานชัยภูมิ, นายฉัตรดำรงค์ หงษ์บุญมี ผู้อำนวยการส่วนวางโครงการที่ 2 สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เกษตรกร และสื่อมวลชน เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

 

นางดรรชณี เฉยเพ็ชร ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรมชลประทาน ผู้แทนผู้บริหารกรมชลประทาน เปิดเผยว่า โครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีฯ เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาแหล่งน้ำลุ่มน้ำชีที่เริ่มศึกษาเมื่อปี 2531 เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการน้ำ โดยมีอ่างเก็บน้ำสำคัญ เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำชีบน (ความจุ 325 ล้าน ลบ.ม.) เขื่อนยางนาดี และโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีฯ (ความจุ 70.21 ล้าน ลบ.ม.) ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะรองรับพื้นที่ชลประทานรวมกว่า 200,000 ไร่ สนับสนุนการเกษตรและการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับความคืบหน้าและแผนงานพัฒนานั้น   ปัจจุบันโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีฯ มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้ว 58% คาดว่าจะสามารถเริ่มเก็บกักน้ำได้ในช่วงฤดูฝนปี 2569 โดยการพัฒนาระบบชลประทานแบ่งเป็น  ส่วนสำคัญ ได้แก่

  1. พื้นที่ชลประทานตอนบน:  มีระบบส่งน้ำที่ออกแบบให้กระจายน้ำได้ทั่วถึง
  2. พื้นที่ชลประทานตอนล่าง: จะขยายระบบชลประทานต่อเนื่องในอนาคต เมื่อมีการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มเติม เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำชีบน โดยในระยะสั้นและระยะกลาง ได้เสนอแผนโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ชลประทานตอนล่าง จำนวน 37 โครงการ
  3. พื้นที่ท้ายอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี: เป็นพื้นที่ชลประทานเดิม รับน้ำจากประตูระบายน้ำพระอาจารย์จื่อ ซึ่งสภาพพื้นที่ค่อนข้างสูงกว่าระดับน้ำท้ายอ่างฯ ไม่สามารถส่งน้ำด้วยแรงโน้มถ่วงได้ จึงเสนอระบบส่งน้ำโดยใช้ ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน

 

ผลการศึกษาพบว่า โครงการอาจมีผลกระทบต่อดิน น้ำ ป่าไม้ และชุมชนบางส่วนในช่วงก่อสร้าง แต่สามารถจัดการได้ด้วยมาตรการ เช่น ควบคุมการชะล้างหน้าดิน รักษาคุณภาพน้ำ ฟื้นฟูป่า และชดเชยที่ดินทำกิน ซึ่งกรมชลประทานให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนแล้ว 3 ครั้ง รวม 18 เวที มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 คน ส่วนใหญ่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และตัวแทนประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ และอำเภอบ้านเขว้า เพื่อให้ข้อเสนอแนะประกอบการศึกษาอย่างครบถ้วน

การประชุมปัจฉิมนิเทศครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสม ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และประเด็นของโครงการ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เพื่อนำไปประกอบการปรับปรุงแผนงานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

นายอภิชาต ชุมนุมมณี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน กล่าวว่า การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ไม่เพียงแต่สร้างอ่างเก็บน้ำ แต่ยังควบคู่ไปกับการวางระบบส่งน้ำให้ครบถ้วน เพื่อให้เกษตรกรทั้งพื้นที่ตอนบนและตอนล่างสามารถใช้น้ำได้อย่างทั่วถึง โดยได้ออกแบบระบบสูบน้ำเสริมเพื่อกระจายน้ำไปยังพื้นที่ขอบอ่างด้านบน ลดปัญหาการเข้าถึงน้ำไม่เท่าเทียม

นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และเพิ่มศักยภาพการใช้น้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคและบริโภค ซึ่งจะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดอย่างยั่งยืน พร้อมขอบคุณกรมชลประทานที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ในส่วนของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นายสมปอง วรรณเกตุ ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร อ.บ้านเขว้า เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นความหวังของเกษตรกรที่จะมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ขณะเดียวกัน นายจิตตภูมิ วรรณชัย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ต.บ้านเขว้า และประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำลำน้ำชีตอนบน ระบุว่า ที่ผ่านมาในฤดูฝนชาวบ้านมักประสบปัญหาน้ำท่วมหลาก และขาดแคลนน้ำหลังน้ำลด แต่เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยให้มีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอ ทำให้การทำเกษตรมีความต่อเนื่องและมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กรมชลประทานจะดำเนินการโครงการควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้การพัฒนาสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพื้นที่จังหวัดชัยภูมิอย่างแท้จริง