กรมชลประทานสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการพระราชดำริ เน้นความร่วมมือทุกภาคส่วน–ฟังเสียงประชาชนเป็นหัวใจหลัก
พร้อมย้ำปริมาณน้ำปีนี้เพียงพอจนสิ้นปี

กรมชลประทานยังคงเดินหน้าสนองพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ตามแนวทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เพื่อสืบต่อพระราชดำริด้านน้ำที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงริเริ่มไว้กว่า 5,000 โครงการทั่วประเทศ
นายพงศธร ศิริอ่อน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา โครงการพระราชดำริ เช่น เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และคลองลัดโพธิ์ เป็นหลักฐานสำคัญของพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกร วันนี้กรมชลประทานยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้ให้ดำรงอยู่ พร้อมทั้งต่อยอดให้เกิดความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
นายสัณฐิต พิรานนท์ ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อธิบายว่า สืบสาน หมายถึงการเดินตามรอยองค์ความรู้และแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้ ,รักษา คือการบำรุงรักษาโครงการกว่า 3,000 แห่ง ให้พร้อมใช้งานเป็นเสมือนดั่งพระองค์ยังคงอยู่เคียงข้างประชาชน และต่อยอด คือการขยายผลและเชื่อมโยงโครงการเข้ากับมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน
สำหรับความสำเร็จของการขับเคลื่อนโครงการพระราชดำริมาจากความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ทั้งองคมนตรี 7 ท่าน หน่วยราชการส่วนกลางและท้องถิ่น เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ที่ทำหน้าที่เป็นแกนกลาง
ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งสิ้นกว่า 200 โครงการ แบ่งเป็นทั้งขนาดเล็กที่คืบหน้าได้รวดเร็ว และขนาดใหญ่ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนด้านที่ดินและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า แต่ทุกโครงการล้วนขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน

กรมชลประทานให้ความสำคัญกับ “ประชาชน” โดยทุกโครงการจะเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ผ่านเวทีประชุม การลงพื้นที่ และการชี้แจงทำความเข้าใจ เพื่อให้ชุมชนร่วมออกแบบแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
โดยนายพงศธร ศิริอ่อน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา กรมชลประทาน ย้ำว่า “กรมชลประทานเข้าใจดีว่าทุกพื้นที่มีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียสละพื้นที่ การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อหาทางออกร่วมกันและทำให้โครงการเดินหน้าได้จริง”
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง กลุ่มผู้ใช้น้ำ ในทุกโครงการ ให้เกษตรกร มีบทบาทในการวางแผนเพาะปลูกและบริหารจัดการน้ำร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน เพื่อสร้างความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำ
สำหรับสถานการณ์น้ำปัจจุบัน กรมชลประทานรายงานว่า เขื่อนใหญ่ทั่วประเทศมีปริมาณน้ำมากกว่าปีที่ผ่านมา โดย ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เขื่อนภูมิพลมีน้ำ 8,885 ล้านลูกบาศก์เมตร (66% ของความจุ) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 5,696 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่เขื่อนสิริกิต์มีน้ำ 7,899 ล้านลูกบาศก์เมตร (83% ของความจุ) สูงกว่าปีที่แล้ว ส่วนเขื่อนป่าสักแม้จะมีเพียง 144 ล้านลูกบาศก์เมตร (15% ของความจุ) แต่ก็ยังสามารถบริหารจัดการร่วมกับปริมาณน้ำจากเขื่อนอื่นได้
“ปริมาณน้ำที่มีเพียงพอรองรับฤดูแล้งที่จะมาถึง และไม่น่าห่วงเรื่องภัยแล้งจนถึงสิ้นปี 68 แต่หากฝนตกหนักเกินคาด จะเร่งปรับแผนบริหารจัดการเพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชน”นายพงศธรย้ำ
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา กรมชลประทาน ฝากทิ้งท้ายว่า “กรมชลประทาน มีอายุ 123 ปี ดำเนินการมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ที่เรามุ่งมั่นดูแลเรื่องน้ำมาโดยตลอด วันนี้เรามีเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างศูนย์ SWOC ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน ที่ช่วยคาดการณ์และประสานงานกับทุกหน่วยงานด้านน้ำ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า จะมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ มั่นคงและยั่งยืน”
