เจ้าของที่ดินร้องสื่อ “ที่ดิน ส.ค.1 ทำกินมา กว่า 100ปี” ถูกเจ้าหน้าที่รัฐชี้ “บุกรุกที่สาธารณะ” โดยอ้างปากเปล่าไม่มีเอกสารทางราชการมายืนยันว่าบุกรุกจริง แถมมาตั้งประปาหมู่บ้านบนเนื้อที่ผู้ร้องเสียเอง

เจ้าของที่ดินร้องสื่อ “ที่ดิน ส.ค.1 ทำกินมา กว่า 100ปี” ถูกเจ้าหน้าที่รัฐชี้ “บุกรุกที่สาธารณะ”

โดยอ้างปากเปล่าไม่มีเอกสารทางราชการมายืนยันว่าบุกรุกจริง แถมมาตั้งประปาหมู่บ้านบนเนื้อที่ผู้ร้องเสียเอง

 

ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายประเสริฐ ศรีสมสุข โดยผู้ร้องเล่าว่า ตนและครอบครัว ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายได้ประกอบอาชีพทำนาปีบนที่ดินว่างเปล่า มาเป็นเวลา38ปี ก่อนได้รับครอบครองสิทธิ ส.ค.1 จำนวนสองพื้นที่ติดกัน จนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลา 105ปี บนเนื้อที่รวม12ไร่ ใน ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และได้รับการอนุญาตให้ครอบครองสิทธิตามกฏหมาย “หนังสือแจ้งการครอบครองที่ดินของผู้ครอบครองที่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน มาก่อนวันที่กฎหมายที่ดินประกาศใช้ ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 5” หรือที่เรียกกันว่า (ส.ค.1) เมื่อวันที่ 27พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2498 จำนวนที่ดิน2แปลง และได้ประกอบอาชีพทำนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลา 105ปีแล้ว

ต่อมามีเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยงาน มาแจ้งกับผู้ร้องว่า ที่ดินของผู้ร้องทั้งหมด2แปลงนั้นได้กลายเป็นที่สาธารณะไปแล้ว อีกทั้งหน่วยงานราชการท้องถิ่น ได้มาตั้งสถานที่ทำประปาหมู่บ้านในพื้นที่ครอบครองสิทธิ ส.ค.1ที่ตนครอบครองอยู่ ทำให้ผู้ร้องได้ไปตรวจสอบสิทธิ ส.ค.1ของตน ก็พบว่า ตนนั้นยังครอบครองอยู่ตามกฏหมาย อีกทั้งยังไปยื่นคำร้องต่อ กรมแผนที่ทหาร เพื่อคัดถ่ายแผนที่ทางอากาศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2497 และครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2542 และรับรองเอกสารภาพถ่ายทางอากาศอย่างครบถ้วนทั้งสองครั้ง

ทางด้านผู้ร้อง ได้มีการสอบถามไปยังหน่วยงาน ที่มาตั้งประปาหมู่บ้านว่า ทำไมถึงมา สร้างบนเนื้อที่ของตน ก็ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนเดิมว่า ผู้ร้องไม่มีที่ครอบครองสิทธิแล้ว และผู้ร้องยังบุกรุกที่สาธารณะอีกด้วยทำให้ผู้ร้องสงสัยว่า การครอบครองสิทธิ ส.ค.1 ตนได้ครอบครองถูกต้องมานานจนสมควรจะยกระดับให้เป็น น.ส.3ก.ด้วยซ้ำไป และเจ้าหน้าที่รัฐยังมาแอบอ้างและกล่าวหาว่าตนบุกรุกที่สาธารณะด้วยวาจาเท่านั้น แต่ไม่เคยมีหนังสือทางราชการ หรือแม้แต่คำสั่งทางปกครองส่วนท้องถิ่นอะไรมาให้ตนเลยแม้แต่สักฉบับเดียว ผู้ร้องจึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนมาในครั้งนี้

ส่วนกรณีที่ผู้ร้องที่ได้ไปร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ก่อนหน้านี้ ทางผู้ว่าฯได้สั่งการให้นายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงและผลการสอบก็ออกมาว่า ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องต่างฝ่ายก็ไม่สามารถชี้แจงว่า ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ และอีกฝ่ายได้บุกรุกที่สาธารณะหรือไม่ นายอำเภอจึงสรุปว่าให้ยุติเรื่องดังกล่าวและยังแนะนำให้ผู้ร้องดำเนินคดีกับผู้ที่มากล่าวหาว่าบุกรุกที่สาธารณะในวันข้างหน้าอีกด้วย

ต่อมาทีมข่าวได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์ นาย นนท์ธวัช นาคนวล นักวิชาการที่ดินชำนาญการพิเศษ สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ในกรณีที่ผู้ร้องถูกผู้นำท้องถิ่นมาแจ้งผู้ร้องด้วยวาจาว่า ผู้ร้องบุกรุกที่สาธารณะ ได้แจ้งมาตลอดนานนับสิบปี โดยไม่มีหนังสือทางราชการมายืนยัน ให้ทราบเป็นทางการเลย ซึ่งนักวิชาการที่ดินชำนาญการพิเศษ สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ให้ข้อมูลของกฎระเบียบของ ส.ค.1 กับทีมข่าวว่า กรณีการครอบครองสิทธิให้ชอบด้วยกฏหมายนั้นมีอยู่ว่า 1.การที่จะครอบครองที่ดินว่างเปล่าผู้ครอบครองนั้นต้องทำกินบนที่ดินอย่างชัดเจนและเปิดเผยก่อนวันที่กฎหมายที่ดินจะประกาศใช้ ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 5 จึงจะมาขอหนังสือ ส.ค.1 ได้ และต้องมีผู้ใหญ่บ้านและกำนันตลอดจนนายอำเภอมาเซ็นต์ชื่อรับรองยืนยันว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้นจริง 2.หากผู้ครอบครองที่ได้สิทธิใน ส.ค.1 ตามกฏหมายคนแรก ถ้าหากไม่ใช้ที่ดินทั้งหมดหรือบางส่วน เกิน1ปี หากมีผู้ใดมาครอบครองทับซ้อนแบบเปิดเผย ผู้ครองสิทธิคนแรกไม่มาแย้งภายใน1ปี ก็จะเสียสิทธิการครอบครองที่ส่วนนั้นทันที 3.ในขณะที่ผู้ครอบครอง ส.ค.1 ยังทำประโยชน์ในพื้นที่อยู่ตลอดผู้ใดจะมาอ้างสิทธิหรือแอบอ้างสิทธิเข้ามาก่อสร้างที่พักอาศัยหรือเข้าทำมาประโยชน์ทับซ้อนบนที่ดินของผู้ถือสิทธิ ส.ค.1 มิได้